สัมภาษณ์มาติป: เราผ่อนกับบาร์เซโลนาไม่ได้แม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียว’
“มันเป็นเรื่องบ้ามาก มันเหมือนกับเครื่องจักรทั้งหมดทำงานไปด้วยกัน”

สัมภาษณ์มาติป: เราผ่อนกับบาร์เซโลนาไม่ได้แม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียว’
“มันเป็นเรื่องบ้ามาก มันเหมือนกับเครื่องจักรทั้งหมดทำงานไปด้วยกัน”
มันไม่มีทางเลือกอื่น สำหรับลิเวอร์พูล โจเอล มาติปเล่า ไม่มีทางเลือกอื่น
“เราไม่อาจจะโชว์ฟอร์มต่ำลงได้ แม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียว… เราต้องการทุกๆ คน”
มาติปพูดถึงคำคืนที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในแอนฟิลด์ หลังจากพ่ายบาร์เซโลนา 0-3 ในเลกแรกในสเปนซึ่งสกอร์ดูจะเกินรับได้จากที่พวกเขาได้โอกาสยิงถึง 15 ครั้ง ในขณะที่ก่อนเกมเลกที่สอง พวกเขาเพิ่งออกแรงอย่างหนักในเกมบุกชนะนิวคาสเซิล 3-0 และไม่มีทั้งโรแบร์โต้ เฟอร์มิโน่ และโมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่มีการบาดเจ็บ

“ชัดเจนว่า เกมที่คัมป์ นู ไม่เลวเลย แต่พวกเขาทำได้ 3 ประตู และเรารู้ว่า มันจะหนัก หนักมากจริงๆ ในเกมที่แอนฟิลด์ เรารู้ว่าเราต้องการให้อะไรบางอย่างที่พิเศษเกิดขึ้นถ้าเราอยากจะผ่านเข้าชิงชนะเลิศ” มาติปกล่าวกับ Liverpoolfc.com ในสัปดาห์นี้ที่เราฉลองครบรอบหนึ่งปี
“เราคิดว่า ‘ต้องชนะเกมนี้’ แต่เราไม่มีทางนึกภาพว่า มันจะออกมาอย่างนั้นในตอนจบ”
“แน่นอนว่า เราเล่นได้ดีมากที่คัมป์ นู กับบาร์เซโลนา กับหนึ่งในทีมที่แข็งแกร่งที่สุดโลกในบ้าน ดังนั้นมีแง่ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่พวกเขาทำประตูได้ และเราทำไม่ได้”
“เรารู้ว่าถ้าเราโชว์ฟอร์มแบบนั้นได้อีกครั้ง ปรับ 2-3 จุด และคว้าโอกาสที่เรามี แล้วทุกคนจะมั่นใจว่าเราน่าจะชนะพวกเขาในค่ำคืนนั้น แต่เราไม่คิดเกี่ยวกับผลการแข่งขันในตอนจบ”
“แน่นอนว่ากับการที่เราขาดนักเตะที่มีคุณภาพอย่าง บ็อบบี้ และโม… ทุกๆ ทีมจะคิดถึงพวกเขา และมันไม่ใช่เรื่องที่สมบูรณ์แบบ แน่นอนว่ามันไม่ได้ทำให้เป็นวันที่ดีขึ้นที่คุณได้ยินว่า ‘เขาลงเล่นไม่ได้ และเขาลงเล่นไม่ได้’ แต่คุณต้องใช้ทีมที่มี และทำให้มันดีที่สุด”
เมื่อเวลาผ่านไป รายละเอียดต่างๆ ถูกคล็อปป์ถ่ายทอดผ่านการพูดคุยก่อนเกม
“เมื่อเราเตรียมตัวสำหรับเลกที่สอง การพูดคุยกับทีมของผมตรงไปตรงมา ไม่มีร็อคกี้ในเวลานี้” ผู้จัดการทีมอธิบายด้วยตัวเองในช่วงต้นฤดูกาลนี้ “ส่วนใหญ่ผมพูดคุยในเรื่องของแท็กติก แต่ผมก็พูดความจริงกับพวกเขา ผมพูดว่า ‘เราต้องลงเล่นโดยไม่มีกองหน้าที่ดีที่สุดของโลกของคน โลกภายนอกบอกว่า มันไม่มีทางเป็นไปได้ และพูดตามตรง มันเป็นไปไม่ได้ แต่เพราะมันคือคุณ? เพราะมันคือคุณ เราถึงมีโอกาส’ “
“ผมเชื่อในเรื่องนี้จริงๆ มันไม่ได้เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสามารถด้านแท็กติกในฐานะนักฟุตบอล มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับว่า พวกเขาเป็นมนุษย์ และทุกๆ อย่างที่พวกเขาต้องเอาชนะในชีวิต เรื่องเดียวที่ผมเพิ่มเติมไปคือ ‘ถ้าเราล้มเหลว ลองล้มเหวในแบบที่งดงามที่สุด”
คำพูดของเขาส่งผลอย่างที่ต้องการ
“เขาทำให้เราเชื่อมั่นว่า เรามีโอกาส นั่นคือเราน่าจะสร้างบางอย่างจริงๆ ที่เราจะบอกเล่าให้กับลูกไป เกี่ยวกับเรื่องนี้ในอนาคต” มาติปจดจำ
“เรารู้ว่า มันสำคัญมากถ้าเราเก็บคลีนชีตได้ แต่ถึงอย่างนั้นมันจะไม่ใช่โอกาสที่ดีมากสำหรับเรา ถึงเราเก็บคลีนชีตได้ มันก็เป็นความท้าทายที่ยากมากโดยไม่ต้องเสียประตู”
“ซึ่งเรารู้ว่า เราต้องทำมันร่วมกัน เพราะว่าคุณไม่อาจจะตั้งรับกองหน้าเหล่านี้ด้วยตัวคุณเอง ทั้งสนามจะต้องไหลไปด้วยกันตลอดเวลา คุณต้องช่วยทั้งด้านข้าง จากด้านขวา จนถึงด้านซ้าย และจากแดนหน้าตลอดเวลา ทุกๆ คนรู้ว่า ทุกคนต้องทำงานเพื่อช่วยเก็บคลีนชีตที่จะทำให้มีโอกามากขึ้นในการผ่านเข้ารอบต่อไป”
มาติปมีชื่อลงเล่นร่วมกับเวอร์จิล ฟาน ไดจ์คในแนวรับ ที่ต้องรับมือกับ ลิโอเนล เมสซี, หลุยส์ ซัวเรซ และคนอื่นๆ ซึ่งทุกคนในแอนฟิลด์รู้ดีว่ามันเป็นงานหนักมากแค่ไหน แต่เสียงเชียร์ที่คอยกระตุ้นตั้งแต่ออกจากอุโมงค์ลงสู่สนาม มาจนถึงการทำประตูไล่ตามในสกอร์รวมมาเป็น 1-3 ของดิว็อค โอริกี
“บรรยากาศมันบ้ามาก เมื่อเราลงไปในสเตเดียม แม้ทุกคนจะรู้ผลการแข่งขันในเลกแรก และรู้ว่าเรากำลังเผชิญหน้ากับใคร” มาติปกล่าว “แต่อารมณ์ร่วมดีมาก และมันดีขึ้นเรื่อยๆ มันแค่บ้ามาก มันเหมือนกับเครื่องจักรทั้งหมดทำงานรวมกัน ทุกๆ คน รวมถึงนักเตะ และแฟนบอล”
“เราเร่งความเร็วในเกมได้มากขึ้นเรื่อยๆ กับทุกๆ ประตู ทุกๆ คนเริ่มโลภขึ้นเรื่อยๆ ทั้งบนอัฒจันทร์ ทั้งนักเตะบนม้านั่งสำรอง ทั้งนักเตะในสนาม มันบ้ามาก ทุกคนเร็วขึ้นเรื่อยๆ ทำทุกอย่างได้ดีขึ้นเรื่อยๆ”
“ในสนามเสียงเชียร์ดังมากจริงๆ คุณได้ยินเสียงตะโกนดังไปทั่วสนาม แต่ในช่วงเวลาแบบนี้มันไม่ใช่ปัญหาอันเลวร้ายที่จ่านมันไปให้ได้!”
“ทุกๆ ประตูมีความสำคัญมาก แต่การทำประตูตั้งแต่ต้นเกมช่วยให้เรามีความหวังมากขึ้น ถ้าพวกเขาเก็บคลีนชีตได้นานๆ มันจะเป็นสะกดอารมณ์ร่วมทั้งหมด แต่กับประตูนั้นทำให้เรามีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น และเริ่มคิดว่าเราจะทำบางอย่างได้”

มันเป็น 45 นาทีแรกที่น่าตื่นเต้นที่แอนฟิลด์ แม้ว่าลิเวอร์พูลไม่สามารถทำประตูเพิ่มได้ก่อนพักครึ่ง และอันที่จริง อลิสสัน เบ็คเกอร์ ต้องออกแรงแบบหายใจไม่ทั่วท้องหลายครั้ง
มาติปรำลึก : “มันเป็นแง่ดีในครึ่งเวลาแรก แต่ทุกๆ คนรู้ดีว่าเราผ่อนลงไม่ได้แม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียว แม้ว่าเราจะเล่นได้ดีในครึ่งแรก แต่เราต้องทำให้ดีขึ้นอีก เราต้องทำเรื่องที่ต่างๆ เหมือนเดิม เราไม่อาจจะผ่อน และทุกๆ คนรู้ว่ามีโอกาสรออยู่”
ลิเวอร์พูลจำเป็นต้องเปลี่ยนทีมตอนพักครึ่ง เมื่อแอนดี โรเบิร์ตสัน ต้องอกจากสนาม และจอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุมได้ลงแทน โดยเจมส์ มิลเนอร์ขยับไปเป็นแบ็กซ้ายแทน อย่างไรก็ตามมันกลายเป็นผลดี เมื่อหงส์แดงมี 122 วินาททีที่ยอดเยี่ยมในครึ่งหลังที่ดาวเตะดัตช์ทำให้ทุกอย่างกลับมาเท่ากัน หลังเริ่มต้นครึ่งหลังไป 11 นาที
“ผมคิดว่า หลังจากจินีทำประตูแรกมันเป็นแบบ ‘โอ้ เราจะชนะเกมนี้’ เพราะว่าเราเล่นได้ดี หลังจากลูกที่สองของเขา ผมคิดว่า ‘โอเค วันนี้เราจะทำมันได้’ “
“แต่คุณไม่มีทางรู้ เพราะว่าคุณรู้ว่า คุณเล่นอยู่กับใคร และคุณเล่นแย่ไม่ได้เลยกับศูนย์หน้าเหล่านี้ที่สามารถร่ายเวทมนต์ออกมา และทำประตูได้ทุกเมื่อ”
จนมาถึงหนึ่งในช่วงเวลาที่ตัดสินฤดูกาลจากจังหวะเตะมุมเร็วก่อนหมดเวลา 11 นาที ซึ่งมาติปมีมุมมองที่ดีเกี่ยวกับมันเช่นกัน
“ผมขึ้นไปในกรอบเขตโทษช้าๆ ซึ่งตามสไตล์ของเซนเตอร์แบ็ก ผมขึ้นจากหลังไปหน้าช้าๆ! ผมคิดว่าอีกประมาณ 20 วินาทีจะมีลูกเปิดเตะมุมเข้ามา หรืออะไรแบบนั้น ผมขึ้นไปข้างหน้า และมีมุมมองที่ดีกับจังหวะทั้งหมด”
“มันบ้ามาก ผมแทบไม่อยากจะเชื่อมัน ผมไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้น เพราะเขาแค่ยิงมันเข้าไป ผมคิดว่า ‘เกิดอะไรขึ้น?’ หลังจากนั้นผมเห็นดิว็อคอยู่ตรงนั้น และบอลก็ตุงตาข่าย…”
“ผมสับสนนิดหน่อยถ้าพูดตามตรง แต่หลังจากผ่านไป 2-3 วินาที ทุกๆ คนเข้าไปฉลอง ซึ่งผมแค่ตามเข้าไป”
และเมื่อเสียงนกหวีดยาวดังขึ้น ลิเวอร์พูลเอาชนะบาร์เซโลนา 4-0 ผ่านเข้าชิงชนะเลิศที่มาดริดแบบที่ใครหลายคนอาจจะคิดว่า เป็นไปไม่ได้
“คุณแทบไม่อยากจะเชื่อมัน ผมน่าจะพูดว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของผมในฐานะนักฟุตบอลอาชีพ เพราะว่ามันพิเศษมาก” มาติปอธิบาย
“คุณมีความสุขอย่างที่สุด และตอนนี้คุณน่าจะผ่อนคลาย เพราะว่ามีความตึงเครียดในตัวคุณอย่างมาก คุณต้องพยายามโฟกัสกับเกมทั้งหมด และหลังจากนั้นคุณสามารถปลดปล่อย และมีความสุข”
“การร้องเพลง You’ll Never Walk Alone ร่วมกับแฟนๆ…เป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก มหัศจรรย์ และบ้ามาก และเป็นช่วงเวลาที่ผมจะจดจำตลอดไป”
แน่นอนว่าลิเวอร์พูลไปต่อ และทำงานสำเร็จลุล่วงก่อนที่เฮนเดอร์สันจะได้ชูถ้วยแชมเปียนส์ลีกในมาดริด
“ชัยชนะในนัดชิงชนะเลิศทำให้ความทรงจำในเกมกับบาร์เซโลนาสมบูรณ์แบบ ไม่อย่างนั้นแม้ว่ามันจะเป็นความทรงจำที่ดี และยังพิเศษ แต่การคว้าแชมป์ทำให้ทุกอย่าง และทำให้มันเป็นอย่างที่มัน”
“เกมกับบาร์เซโลนาพิเศษมาก เพราะว่าเราชนะนัดชิงชนะเลิศ”
“มันเป็นเรื่องอัศจรรย์มาก”
ติดตามข่าว กีฬา เพิ่มเติม
ขอขอบคุณแหล่งข่าวข้อมูล thailandliverpoolfc