อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ ตำนาน ของเจ้าม้าลาย ยูเวนตุส เขาคือเครื่องหมายการค้าในถิ่นตูริน

อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่

อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ คือเครื่องหมายของสโมสรยูเวนตุส เขาเป็นนักเตะอัจฉริยะแห่งยุค เป็นคนที่อยู่กับสโมสรมาอย่างยาวนาน และช่วยทีมประสบความสำเร็จมากมาย

ยูเว่ เคยได้แชมป์ยุโรปแค่ 2 ครั้งตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร ครั้งแรกเกิดขึ้นในปี 1985 เป็นยุคของมิเชล พลาตินี่ และอีกครั้ง เกิดขึ้นในปี 1996 ในยุคของเดล ปิเอโร่

ขณะที่ในกัลโช่ เซเรียอา ไม่ต้องพูดถึง เดล ปิเอโร่ พาทีมได้แชมป์ลีก 6 สมัย (ถ้าไม่โดนริบ จากคดีกัลโช่โปลี ก็จะเป็น 8 สมัยด้วย)

จุดเด่นอีกอย่างของเดล ปิเอโร่ ที่ทุกคนจำได้ดี คือเป็นราชาลูกนิ่ง โดยเฉพาะเรื่องจุดโทษของเขา ไม่มีใครเกิน ทั้งกับสโมสร และทีมชาติ เดล ปิเอโร่ ยิงจุดโทษได้เด็ดขาดเสมอ

อย่างไรก็ตาม เชื่อหรือไม่ ว่า ก่อนจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญแบบนี้ จริงๆแล้วเดล ปิเอโร่ ไม่เคยหวังอยากจะเป็นคนยิงจุดโทษตัวหลักเลยสักนิด

——————————————-

ปมในใจของเดล ปิเอโร่ เกิดขึ้นในวันที่ 16 สิงหาคม 1991 ในทัวร์นาเมนต์ u-17 ชิงแชมป์โลก ที่อิตาลีเป็นเจ้าภาพ

นัดเปิดสนาม อิตาลี พบกับ สหรัฐอเมริกา ปรากฏว่า ในเกมนั้น อิตาลีได้จุดโทษ และเดล ปิเอโร่ เป็นคนยิง แต่เขายิงพลาด ส่งผลให้อิตาลีแพ้อเมริกาคาบ้านไปแบบสุดช็อกด้วยสกอร์ 0-1 ก่อนสุดท้ายจะตกรอบแรกในเวลาต่อมา

หลังจบเกมกับสหรัฐฯ หน้าของเดล ปิเอโร่ ปรากฏหรา ขึ้นที่หนังสือพิมพ์กัซเซ็ตต้า เดลโล่ สปอร์ต โทษฐานที่เขาเป็นต้นเหตุของความพ่ายแพ้ ซึ่งเรื่องนี้ มันทำลายความมั่นใจของเขาในการยิงจุดโทษลงอย่างสิ้นเชิง และจากนั้นมา ถ้าเป็นไปได้ เดล ปิเอโร่ ก็ไม่อยากรับหน้าที่สังหารจุดโทษด้วยตัวเอง

ในปี 1993 เดล ปิเอโร่ ย้ายจากปาโดว่า ไปอยู่ยูเวนตุส ที่สโมสรมีตัวสังหารจุดโทษเบอร์ 1 อยู่แล้ว นั่นคือโรแบร์โต้ บาจโจ้ เป็นคนที่ยิงชัวร์มากที่สุดในโลกคนหนึ่ง ดังนั้น เดล ปิเอโร่ ก็ไม่จำเป็นต้องห่วงในเรื่องนี้

แต่จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในอีก 2 ปีต่อมา ก่อนซีซั่น 1995-96 จะเริ่ม เมื่อบาจโจ้ ย้ายออกจากยูเว่ ไปร่วมทีมเอซี มิลาน

นั่นก็ให้เกิด 2 เหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น คือ 1) เสื้อเบอร์ 10 ของยูเว่ว่างลง และ 2) ทีมไม่มี ตัวสังหารจุดโทษเบอร์ 1 อีกต่อไป

ตัวเลขเบอร์ 10 คือเบอร์แห่งความยิ่งใหญ่ นี่เป็นเบอร์ของตำนานลูกหนังโลก ดีเอโก้ มาราโดน่า, เปเล่ และ มิเชล พลาตินี่ ใส่เลขนี้ทั้งนั้น ดังนั้นในมุมของยูเวนตุส คนที่จะได้รับเบอร์ 10 อันทรงเกียรติ ก็ต้องเป็นคนที่คู่ควรจริงๆ

และในที่สุดสโมสรก็เลือกเด็กหนุ่มวัย 20 ปี ที่ชื่อเดล ปิเอโร่ มาสานต่อเสื้อเบอร์นี้ ต่อจากบาจโจ้

การใส่เบอร์ 10 มันแปลว่า สโมสรตั้งความหวังกับเขาสูงมากๆ และมองว่าเขาคือนักเตะที่เก่งที่สุดในทีมแล้ว

——————————————-

ในแต่ละสโมสร การเลือกคนมาสังหารจุดโทษ จะมีวิธีหลักๆอยู่ 2 แบบ
– เลือกนักเตะที่ยิงจุดโทษแบบเป็น Specialist
– เลือกนักเตะที่เป็นผู้เล่นอันดับหนึ่งของทีมนั้น

ถ้าหาก สโมสรไหนมีคนเก่งยิงจุดโทษเฉพาะทาง ก็สบายไป ตัวอย่างเช่น ลิเวอร์พูลตอนนี้ มีเจมส์ มิลเนอร์ ที่ยิงจุดโทษชัวร์อยู่ แต่ถามว่ามิลเนอร์คือนักเตะเบอร์ 1 ของสโมสรหรือไม่ ก็คงไม่ใช่แบบนั้น

หรืออย่างคริสตัล พาเลซ ที่เพิ่งเอาชนะแมนฯซิตี้ไปเมื่อสุดสัปดาห์ พวกเขามีตัวจุดโทษที่ไว้ใจได้อย่างมิดฟิลด์ ลูก้า มิลิโวเยวิช ดังนั้น ถ้าเป็นจุดโทษเมื่อไหร่ มิลิโวเยวิช ก็จะรับอาสายิงเองทุกลูก

แต่ถ้าหาก สโมสรไหนไม่มีคนที่ชำนาญโดนเด่นเฉพาะทาง ก็จะเลือกให้นักเตะที่เก่งที่สุดของทีม รับหน้าที่นี้ไปเลย

ลีโอเนล เมสซี่ กับบาร์เซโลน่า, ฟรานเชสโก้ ต๊อตติ กับโรม่า, สตีเว่น เจอร์ราร์ด กับลิเวอร์พูล เหล่านี้เป็นตัวอย่างที่ดี

สำหรับเดล ปิเอโร่นั้น เมื่อเขาสวมเสื้อเบอร์ 10 ของโรบี้ บาจโจ้แล้ว สิ่งที่ต้องสานต่อ คือความยิ่งใหญ่ของบาจโจ้ นอกจากจะเป็นความหวังของทีมในจังหวะปกติแล้ว ลูกจุดโทษ สโมสรก็คาดหวังให้เดล ปิเอโร่ เป็นคนยิงด้วย

ปัญหาคือ เดล ปิเอโร่ รู้สึกฝังใจเสมอกับจุดโทษ ในเกมยู-17 ถ้าเลี่ยงได้เขาก็อยากเลี่ยง

แต่ในเมื่อมันมาถึงจุดนี้แล้ว เมื่อสโมสรให้ความไว้วางใจ ให้เสื้อเบอร์ 10 กับเขาแล้ว สิ่งที่เขาต้องทำ คือ พัฒนาทักษะการยิงจุดโทษของตัวเองให้ได้

——————————————-

สิ่งที่เดล ปิเอโร่ ทำคือ สร้างความมั่นใจ และ ปรับเรื่องทักษะการยิง

เรื่องความมั่นใจ ตอนแรกเดล ปิเอโร่ รู้สึกกลัวการยิงจุดโทษ เขามองว่าผู้รักษาประตูนั้นได้เปรียบมากๆ คือ เซฟไม่ได้ก็เสมอตัว แต่ถ้าเซฟได้เป็นฮีโร่ ตรงข้ามกับคนยิง ที่ยิงเข้าเสมอตัว แต่ยิงพลาดการเป็นผู้ร้ายทันที

“ผมมาคิดดู ความจริงแล้ว สถานการณ์ของคนยิง มันเบากว่าที่คนคิดไว้มาก คือลองพิจารณาดีๆ โอกาสที่คนยิงเข้า มันมีมากกว่าคนเซฟได้นะ” เดล ปิเอโร่เผย “แถมลูกบอลก็อยู่นิ่งๆอีกต่างหาก มีวิธีเป็นร้อยให้คุณเลือกยิงประตูได้”

พอปรับเปลี่ยนวิธีคิดแล้ว เดล ปิเอโร่ ก็ลดความวิตกลงไป โอกาสสำเร็จมันมากกว่าโอกาสพลาดอยู่แล้ว ดังนั้นจะไม่กังวลกับเปอร์เซ็นต์ความผิดพลาดเล็กน้อยที่อาจเกิดขึ้นทำไมล่ะ?

หลังจากสร้างความมั่นใจให้ตัวเองได้แล้ว เดล ปิเอโร่ ก็ฝึกซ้อมจุดโทษอย่างเดียว อย่างหนัก

หลังการซ้อมประจำวัน เดล ปิเอโร่ จะแยกมาซ้อมการยิงจุดโทษคนเดียวโดยเฉพาะ

เขาได้เรียนรู้ว่า วิธีการยิงจุดโทษมันมีหลากหลายมาก ยิ่งคุณยิงได้หลายแบบ ก็ยิ่งได้เปรียบในการเผชิญหน้ากับผู้รักษาประตูมากขึ้นเท่านั้น

“ผมเองจะลองทุกรูปแบบ แบบละ 5 ครั้ง และหลังจากซ้อมเสร็จ ก็จะกลับไปดูวีดีโอของนายทวารที่จะเจอในแมตช์ต่อไป ว่าเขาชอบพุ่งไปในทิศทางไหน”

เดล ปิเอโร่ ในตอนแรกสุด คิดว่า การยิงจุดโทษที่ดี คือการเลือกมุมไว้ในใจ ไม่ว่านายทวารจะมีท่าทางอย่างไร ก็อย่าเปลี่ยนใจ ยิงในมุมที่ตัวเองเลือกไว้แล้วเท่านั้น

“นั่นเป็นวิธีที่ดี ผู้รักษาประตู หลายคนจะพยายามยั่วสมาธิให้เราไขว้เขว การยิงไปในจุดที่ตั้งใจ มันแปลว่า ต่อให้โดนยั่วยุอย่างไร เราก็มั่นคงแน่วแน่ไม่เปลี่ยนใจ”

อย่างไรก็ตาม เดล ปิเอโร่ มองว่า การยิงจุดโทษแบบเดียวมันไม่พอ เขาจึงพัฒนาการยิงอีกแบบขึ้นมา คือ การรอจนวินาทีสุดท้าย ให้ผู้รักษาประตูขยับ แล้วยิงไปอีกด้าน

“นี่เป็นสไตล์การยิงที่ผมหลงรัก คนที่ทำแบบนี้เสมอ คือมาราโดน่า” การยิงแบบนี้ ต้องใช้ทักษะชั้นสูง สายตา และสัมผัสที่เท้าต้องประสานกันอย่างรวดเร็วมากๆ

กล่าวคือ ในเวลาที่วิ่งไปยิงลูกบอล สายตาเมื่อเหลือบไปเห็นผู้รักษาประตูโยกจะพุ่งไปทางซ้าย ถ้าหากคนไม่เก่งพอ ก็อาจไม่สามารถบังคับเท้าให้ยิงไปทางขวาได้แบบเพอร์เฟ็กต์ ดังนั้น ต้องตาไว และยิงได้ดี มันเป็นทักษะที่ไม่ง่ายเลย

“ทริกของผม ถ้าคุณจะเลือกยิงแบบนี้นะ คือให้มองผู้รักษาประตูเอาไว้ก่อน ยังไม่ต้องตัดสินใจอะไรทั้งนั้น รอจนถึงวินาทีสุดท้าย เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามเดาทางออก จากนั้น คุณขยับตัวเล็กน้อย ก่อนเท้าสัมผัสบอล แล้ววางเท้ายิงไปที่มุมตรงข้าม วิธีนี้จะเป็นประตูอย่างแน่นอน”

“ผมชอบการยิงแบบนี้ มันคือจุดโทษที่ดูเหมือนง่าย แต่จริงๆแล้วยาก”

สำหรับคนที่ขาไม่มีกำลังจะยิงให้แรงเสียบมุมบน หรือ เล่นไปนานๆ จนถึงท้ายเกม แล้วกลัวว่าจะคอนโทรลลูกให้ยิงเข้ามุมไม่ได้ การใช้ทักษะ ยิงแบบรอจังหวะเป็นเทคนิคที่มีประโยชน์มากๆ

เพราะไม่ต้องการให้ใครๆผิดหวัง เดล ปิเอโร่ จึงฝึกอย่างหนัก และพัฒนาเทคนิคการยิงจุดโทษขึ้นมา เราจึงเห็นว่า เขามีสไตล์การยิงทั้ง 2 แบบ คือ ยิงเต็มเท้าแบบเลือกมุมไว้แล้ว กับ แบบรอจังหวะให้ผู้รักษาประตูพุ่งไปก่อน

การยิงได้หลากสไตล์ มันทำให้นายทวารที่เผชิญหน้ากับเขา เดาได้ยากมาก ว่าเดล ปิเอโร่ คิดอะไรอยู่

ในฤดูกาล 1999-00 เดล ปิเอโร่ ได้ยิงจุดโทษ 9 ครั้ง เขาใช้ทริกการรอจังหวะทั้ง 9 ลูก ผลลัพธ์คือยิงเข้า 100%

แต่ในฟุตบอลโลก 2006 รอบชิงชนะเลิศกับฝรั่งเศส คราวนี้เดล ปิเอโร่ ดวลกับฟาเบียน บาร์กเตซ คราวนี้เขาไม่ใช้การรอจังหวะแล้ว แต่เลือกมุมตั้งแต่แรก แล้วซัดไปยังจุดนั้น และแน่นอน มันเข้าประตูอย่างหมดจด และมีส่วนช่วยให้อิตาลี ได้แชมป์โลกในท้ายที่สุดด้วย

ท้ายที่สุดแล้ว ตลอดอาชีพ เดล ปิเอโร่ ยิงจุดโทษ ไปทั้งหมด 91 ครั้ง ยิงเข้าไป 76 ลูก คิดเป็น 83.5% ถือเป็นสถิติที่ยอดเยี่ยมมากจริงๆ ถ้าในบรรดานักเตะอิตาลี ก็อาจมีเพียงแค่ โรแบร์โต้ บาจโจ้เท่านั้น ที่เหนือกว่าเขา

โดยเปอร์เซ็นต์ การยิงจุดโทษเข้า ของนักเตะอิตาลีมีดังนี้

โรบี้ บาจโจ้ 85.4%
อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ 83.5%
ฟรานเชสโก้ ต๊อตติ 82.6%
คริสเตียน วิเอรี่ 78.1%
อันเดรีย ปิร์โล่ 71.4%

จากนักเตะที่หลีกเลี่ยงการยิงจุดโทษตั้งแต่เด็ก แต่สุดท้าย เขาสามารถกลายเป็นคนที่สามารถฝากความหวังเอาไว้ได้ ก็ถือเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่งอีกอย่างของ เดล ปิเอโร่ แล้ว

อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่

 

ท้ายที่สุด เดล ปิเอโร่ บอกว่า สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขา ในการยิงจุดโทษยังมีอีกเรื่อง

ความมั่นใจคุณต้องมี เทคนิคที่ดีคุณต้องมี สองอันนี้แน่นอน แต่อีกเรื่องคือ “การยอมรับให้ได้” ว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด

“สิ่งที่ต้องเกิดขึ้นแน่นอน คือ สักวันหนึ่งคุณต้องพลาดสักครั้ง”

ความผิดพลาดมันเกิดขึ้นได้เสมอ ต่อให้คุณมั่นใจแค่ไหน และฝึกซ้อมอย่างหนักเพียงใด ไม่มีวันที่คุณจะยิงจุดโทษเข้าตลอดไป ดังนั้น การทำจิตใจให้สบายๆเอาไว้ แล้วทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด แค่นั้นพอ จะพลาดมันก็พลาด

“การกดดันตัวเอง แล้วไปคิดว่า จุดโทษลูกนี้สำคัญมาก สำคัญยิ่งกว่าลูกไหนๆ เป็นวิธีคิดที่ผิดตั้งแต่ต้น” เดล ปิเอโร่เผย

“หากคุณเริ่มต้นคิดว่า จุดโทษลูกนี้ สำคัญกับชีวิตการเล่นที่สุด คุณจะพลาดมันไม่ได้เด็ดขาด ผมคิดว่า วิธีคิดแบบนี้ มันผิดพลาดก่อนที่คุณจะง้างเท้ายิงลูกบอลเสียอีก”

——————————————-

จากเรื่องของเดล ปิเอโร่ เราจะเห็นได้ว่า การที่เราจะทำภารกิจอะไรสักอย่างให้ลุล่วง

สิ่งที่ต้องมีคืออย่างแรกสุดคือ ความมั่นใจในตัวเอง ถ้าคุณไม่มั่นใจ งานที่ออกมา ไม่มีทางจะเวิร์กได้เลย คืออย่าไปวิตกเกินกว่าเหตุ

เมื่อมีความมั่นใจแล้ว ก็ถามตัวเองว่า เรามีความรู้มากพอในการทำสิ่งนั้นหรือยัง ถ้ามีแล้วก็ลุย แต่ถ้ายังก็ไปศึกษาเพิ่มจนกว่าจะรู้มากพอ

และสิ่งสุดท้าย คืออย่าไปกดดันตัวเองมาก ว่าต้องประสบความสำเร็จ

ทำให้เต็มที่ด้วยความรู้ทั้งหมดที่ตัวเองมีก่อน ถ้าจะสำเร็จก็สำเร็จ ถ้าจะพลาดก็พลาด ทุกอย่างมันเกิดขึ้นได้

ถ้าไปถึงเป้าหมายเราก็ดีใจ แต่ถ้าพลาดเราก็เอามาปรับปรุงเพื่อทำให้ครั้งใหม่ดีขึ้นกว่าเดิม

ชีวิตมันก็แค่นี้เอง

ติดตาม ประวัตินักฟุตบอล เพิ่มเติม

ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล WIKI

ทิ้งคำตอบไว้

Please enter your comment!
Please enter your name here